ปรากฏการณ์โควิด-19 กับการมองโลก มองสังคม
ศรีศักรทัศน์

ปรากฏการณ์โควิด-19 กับการมองโลก มองสังคม

 

 

“...มื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เรียกว่า สังคม และเมื่อมนุษย์อยู่ร่วมสังคมกัน เรียนรู้ร่วมกัน มีข้อตกลงร่วมกันจะเกิดเป็น วัฒนธรรม การเรียนรู้ภัยพิบัติของโรคอุบัติใหม่ในโลกนี้ร่วมกันอย่างโควิด-19 ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่อาจารย์ศรีศักรอยากชี้ชวนให้เราได้สังเกต และวิเคราะห์ร่วมกันว่า เชื้อโรคที่เกิดขึ้น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ ที่เกิดทั้งในไทยและทั่วโลก มนุษย์พยายามที่จะจัดการและกำจัดสิ่งเหล่านั้นด้วยมุมมองที่ต่างกันไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามทุกสิ่งย่อมมีความสัมพันธ์กัน ทั้งมนุษย์ ธรรมชาติ สิ่งเหนือธรรมชาติ และจิตวิญญาณ...”

 

ปรากฏการณ์โควิด-19 กับการมองโลก มองสังคม

บทความโดยอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม

ในวารสารเมืองโบราณ ปีที่ 46 ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2563) “คูบัว เมืองท่าแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง”

 

ตั้งแต่ฉบับนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอเปลี่ยน “บทบรรณาธิการ” ของวารสารเมืองโบราณมาเป็น “วัฒนธรรมวิเคราะห์” เพื่อเป็นการเสนอแนวคิดในด้านสังคมวัฒนธรรม โดยใช้พื้นฐานทางมานุษยวิทยาสังคมที่เห็นว่าความเป็นมนุษย์หรือมนุษยชาติ (Mankind) นั้น เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “สัตว์สังคม” ซึ่งต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Group) จึงจะมีชีวิตรอดได้ (Survival) สัตว์สังคมมีหลายอย่างหลายประเภท แต่สัตว์สังคมที่เรียกว่ามนุษย์นั้นมีวิวัฒนาการทางชีววิทยามานาน ก่อนจะเป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือสัตว์โลกอื่นๆ นอกจากรูปร่างที่แตกต่างแล้ว ยังมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดความคิดและสติปัญญา สามารถสื่อสารกันได้ด้วยระบบสัญลักษณ์

 

การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มที่เรียกว่าสังคม (Society) นั้นมีโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน หาใช่การรวมกลุ่มกันชั่วคราวแบบที่เรียกว่าม็อบ (Mob) ไม่ ในการอยู่รอดทางสังคมของมนุษย์จึงต้องมีวัฒนธรรม (Culture) ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นสังคม คิดและสร้างขึ้นเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน เพราะฉะนั้นทั้งสังคมและวัฒนธรรมคือสิ่งที่แยกกันไม่ออก ประดุจเหรียญที่มีสองด้าน คำว่า “วัฒนธรรม” ในแนวคิดทางมานุษยวิทยาจึงไม่อยู่ลอยๆ หากต้องมีสังคมเป็นกรอบหรือบริบท (Social context) ที่หมายถึงการแลเห็นการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มในมิติของเวลา (Time) และพื้นที่ (Space) สัตว์สังคมอื่นๆ ก็มีการสร้างวัฒนธรรมเพื่อการอยู่รอดเหมือนกัน แต่วัฒนธรรมของมนุษย์นั้นสร้างขึ้นด้วยความสามารถในการเรียนรู้และมีความคิดสติปัญญา ต่างจากสัตว์โลกอื่นๆ ที่สร้างวัฒนธรรมด้วยสัญชาตญาณ (Instinct) จึงทำให้วัฒนธรรมของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ขณะที่วัฒนธรรมของสัตว์สังคมอื่นๆ หยุดนิ่ง (Static) เพราะฉะนั้นการศึกษาสัตว์สังคมเช่นมนุษย์จึงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นตามเวลา (Through time) และการเปลี่ยนแปลงก่อนเวลา (Overtime) ในทำนองเดียวกันกับการศึกษาทางประวัติศาสตร์ที่ข้าพเจ้าเรียกว่า ประวัติศาสตร์สังคม (Social history) อันเป็นการศึกษาที่แลเห็นมิติทางสังคมกับมิติทางวัฒนธรรมไปด้วยกัน

 

ในมิติทางสังคมนั้น คือการเห็นโครงสร้างสังคม (Social structure) ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่นเรื่องของครอบครัว ชุมชน ชาติพันธุ์ บ้านเมือง และรัฐที่มีการรวมกันเป็นองค์กร (Organization) ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่ให้ความสำคัญมากนักในบทความนี้ แต่จะเน้นในมิติทางวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย ซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นเรื่องความคิดของมนุษย์ที่มีต่อตนเองและจักรวาล เช่น การมองโลก (World view) ศาสนา ศีลธรรม ค่านิยม อุดมคติ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีชีวิต เป็นต้น  โดยการเสนอบทความลงในวารสารฯ ซึ่งจะเน้นการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สังคม และวัฒนธรรมมาวิเคราะห์ วิจารณ์ เรื่องแรกที่ประเดิมในเล่มนี้คือ “ปรากฏการณ์โควิด-19 กับการมองโลก มองสังคม”

 

โควิด-19 : อุบัติการณ์ล้างโลกและสร้างโลก

จากประสบการณ์และความคิดของข้าพเจ้าที่ผ่านมา คิดแต่เพียงว่า “มหันตภัย” ที่มีอานุภาพในการทำลายโลก มีทั้งการกระทำจากธรรมชาติและมนุษย์ผู้เป็นสัตว์โลกที่ไม่มีสัตว์อื่นใดทำลายล้างได้ นอกจากมนุษย์ด้วยกันเอง เช่น การผลิตยาเสพติด สงครามปรมาณูและนิวเคลียร์ ส่วนการกระทำของธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว คลื่นยักษ์สึนามิ ภูเขาไฟระเบิด พายุทอร์นาโด เป็นต้น แต่มหันตภัยที่เป็นโรคระบาดจนคนตายเป็นหมื่นเป็นแสนนั้นเป็นสิ่งที่รับรู้มาจากประวัติศาสตร์ ไม่เคยมีประสบการณ์ เช่น โรคห่าระบาดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่เอาศพไปทิ้งที่วัดสระเกศให้แร้งกิน หรือโรคซาร์สและไข้หวัดนกก็ไม่ได้ระบาดเป็นวงกว้างไปทั่วโลก เพราะสามารถผลิตวัคซีนขึ้นมาแก้ไขได้ ต่างจากโรคระบาดโควิด-19 ที่เป็นประสบการณ์ของข้าพเจ้าในขณะนี้ ซึ่งมีอานุภาพแผ่ขยายไปทั่วทุกทวีป มีคนติดเชื้อนับล้านและตายนับแสนคน เมื่อเห็นข่าวผู้เสียชีวิตแล้วเป็นสิ่งที่น่าตกใจและสลดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะบรรดาประเทศที่มีผู้เสียชีวิตเป็นหมื่นเป็นแสนนั้น ล้วนเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกทั้งสิ้น ต่างจากประเทศไทยที่มีคนติดเชื้อจำนวนพัน เสียชีวิตไม่ถึงร้อยคน และส่วนใหญ่รักษาหาย สามารถกลับบ้านไปใช้ชีวิตตามปกติได้ นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะก่อนหน้าการเกิดโรคระบาดนี้ ข้าพเจ้าเคยคิดว่าสังคมไทยอยู่ในสภาพล่มสลายทั้งทางศีลธรรม (Demoralization) และความเป็นมนุษย์ (Dehumanization) ดังเห็นได้จากคุณภาพและพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ในสังคมทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ที่สะท้อนออกมาจากการเปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจ และสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนามาเป็นสังคมอุตสาหกรรมแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี

 

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคสงครามเย็นที่โลกแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว คือ ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยกับฝ่ายสังคมนิยมประชาธิปไตยที่เรียกว่า คอมมิวนิสต์ ซึ่งมีรัสเซียกับจีนเป็นหัวหอก เป็นสังคมเผด็จการ ขณะที่ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยมีอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ที่ล้วนเป็นมหาอำนาจมาแต่ยุคอาณานิคม เป็นสังคมแบบทุนนิยมเสรีที่เรียกว่า ประชาธิปไตย โดยอ้างความเป็นใหญ่ของประชาชนในแผ่นดิน ทำให้การปกครองบ้านเมืองต้องมาจากการเลือกตั้ง มีรัฐสภาและกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นที่มาของอำนาจในการบริหารและการปกครอง

 

สังคมไทยแต่โบราณเป็นสังคมในระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้ทรงมีอำนาจเด็ดขาดในแผ่นดิน แต่ก็อยู่ภายใต้กฎหมายทางศีลธรรม ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม ทศบารมี และทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก เป็นระบอบเผด็จการที่มีความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ หากทรงประพฤติผิดศีลธรรมจะถูกอำนาจเหนือธรรมชาติลงโทษ เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงทรงยอมสยบต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ ผ่านการทำพิธีกรรมเพื่อสื่อสารให้ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองรับรู้

 

เมื่อมาถึงตอนนี้อดหวนคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ไม่ได้ทรงเป็นเจว็ดภายใต้รัฐธรรมนูญ หากทรงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทุกข์สุขของประชาชนร่วมกับฝ่ายรัฐบาลในลักษณะคู่ขนาน ในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของบ้านเมืองในยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมสู่อุตสาหกรรม ด้วยการเสด็จออกไปดูแลทุกข์สุขของประชาชนด้วยพระองค์เอง รวมถึงโครงการพระราชดำริต่างๆ ซึ่งได้ผลดีกว่าการดำเนินงานของรัฐบาลในรูปของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพอเพียง พระองค์ทรงไม่เกี่ยวข้องและก้าวล่วงในการใช้อำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ หากทรงใช้อำนาจทางปัญญาบารมีอย่างกษัตริยาธิราชเจ้าในอดีต ไม่ต้องเสด็จไปประชุมที่รัฐสภา แต่ทรงนำบรรดาข้าราชการที่จงรักภักดีไปร่วมถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเหนือจักรวาล ทำให้นึกไปถึงสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์บนถนนราชดำเนิน อันเป็นถนนที่เกิดขึ้นในสมัยราชาธิปไตย และดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 สถานที่สำคัญมี 3 แห่ง คือ พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดารามบนถนนราชดำเนินใน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบนถนนราชดำเนินกลาง และพระบรมรูปทรงม้าที่ปลายถนนราชดำเนินนอก สถานที่ทางสัญลักษณ์ทั้ง 3 แห่งแตกต่างกันในความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งในอดีตและปัจจุบันในยุคเสรีประชาธิปไตย พระบรมมหาราชวังกับพระบรมรูปทรงม้าคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ (Sacred) ขณะที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นสาธารณ์ (Profane) ในการมองจักรวาลของคนไทยที่เป็นคนตะวันออก

 

การมองโลกของคนตะวันตกกับคนตะวันออก

การมองโลกมองจักรวาลนั้นเป็นจินตนาการอย่างหนึ่งในความเป็นมนุษย์ ที่นักมานุษยวิทยารุ่นเก่าเห็นว่ามีความแตกต่างกันระหว่างคนตะวันตกกับคนตะวันออก คนตะวันตกมองจักรวาลว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ด้วยความรู้ทางธรรมชาติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้คนตะวันตกกลายเป็นมหาอำนาจเข้าครอบครองโลกทางวัตถุในขณะนี้ แต่คนตะวันออก เช่น ไทย จีน และชาติอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองจักรวาลในมิติที่มีสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งไม่อาจควบคุมได้ ต้องอาศัยความอ่อนน้อม อ้อนวอน ด้วยประเพณีและพิธีกรรมทางความเชื่อในศาสนาและไสยศาสตร์ โลกทัศน์ทำนองนี้ดูมีอิทธิพลมาถึงการมองความเป็นมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ที่มีความแตกต่างระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่และรัฐไทยมองความเป็นมนุษย์ตามฝรั่งว่า มนุษย์คือทรัพยากร (Human resource) ที่เป็นเรื่องทางวัตถุนิยมและเศรษฐกิจ เมื่อคุณค่าทางเศรษฐกิจหมดไป คนเข้าสู่วัยชรา ทำอะไรไม่ได้ ก็หมดทั้งคุณค่าและมูลค่า สะท้อนให้เห็นจากการเกิดปรากฏการณ์โควิด-19 ระบาด คนแก่คนชราไม่มีประโยชน์ที่จะรักษาพยาบาลให้มีชีวิตรอดอย่างคนรุ่นหนุ่มสาวที่เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ

 

ความโอหังทางวัฒนธรรมตะวันตกต่อจักรวาลดังกล่าว เห็นได้จากความคิดที่ว่าไวรัสโคโรนาคือเชื้อโรคขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตา ต้องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อันเป็นอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เมื่อมีการพัฒนายารักษาโรคและวัคซีนขึ้นมาให้ทันกาล ก็อาจหยุดยั้งและกำจัดให้หมดไปได้ แต่ที่ต้องตายกันเป็นเบือแทบทุกทวีปในขณะนี้ เพราะตั้งอยู่ในความประมาท ขณะที่คนตะวันออกเช่นคนไทยและสังคมไทยที่ถูกอเมริกันครอบงำให้เป็นทาสทางสติปัญญา เป็นสังคมประชาธิปไตยแบบอเมริกันนั้น กลับมีชีวิตรอดจากโรคร้ายได้ดีกว่าประเทศมหาอำนาจในโลกเสรีประชาธิปไตย เช่น อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส เพราะยังมีคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ที่วัฒนธรรมประชาธิปไตยแบบท้าทายจักรวาลอย่างอเมริกันครอบงำไม่หมด อีกทั้งคนในสังคมส่วนใหญ่ยังเห็นมนุษย์เป็น “คน” เป็น “จุลจักรวาล” ที่มีมนุษยธรรม ไม่อาจทอดทิ้งได้เหมือนทรัพยากรที่หมดคุณค่า ประจวบกับผู้นำรัฐบาลที่คนรุ่นใหม่กล่าวหาว่าเป็นจอมเผด็จการนั้น ตัดสินใจในภาวะวิกฤตของโรคระบาด ยึดสุขภาพของประชาชนเป็นสำคัญเหนือเสรีภาพ มีการระดมกำลังแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุข รวมทั้งการจัดการเรื่องโรงพยาบาล สถานที่กักกันและพักฟื้นทั่วราชอาณาจักร เพื่อรับมือการระบาดของไวรัสโคโรนาจนอยู่ในลักษณะที่ควบคุมได้ มีผู้เสียชีวิตน้อยและรักษาหายมาก จนได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีการจัดการด้านสาธารณสุขดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

 

สาเหตุสำคัญที่คนไทยรอดพ้นจากโรคระบาดในขณะนี้ ต่างจากคนในประเทศทางตะวันตกและบรรดาประเทศที่เป็นอุตสาหกรรมก็คือคนไทยไม่โอหัง ไม่ท้าทายโรคร้ายอย่างคนในประเทศทางตะวันตก ที่เห็นว่าโควิด-19 ไม่เป็นโรคที่ร้ายแรงจนเกิดความประมาท ทำให้ตั้งตัวไม่ติดในด้านการรักษาพยาบาลจนขาดอุปกรณ์และสถานพยาบาล และที่สำคัญไม่ระวังตัวเองในการสวมหน้ากากอนามัยและรักษาระยะห่างที่จะลดการแพร่เชื้อได้ โดยเฉพาะผู้นำของประเทศเสรีประชาธิปไตยอย่างอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ และบราซิล ก็ยิ่งทำให้มีคนติดเชื้อและเสียชีวิตด้วยโรคระบาดเป็นจำนวนมาก

 

สำหรับคนตะวันออกอย่างไทยแล้ว ไวรัสโคโรนาคือความตายแบบที่เคยระบาดและทำลายบ้านเมืองและชุมชนมาแล้วในอดีต จนทำให้เกิดบ้านร้าง เมืองร้าง และความอดอยาก พอเกิดภัยพิบัติขึ้นมาครั้งนี้ ทำให้สำนึกชุมชน ครอบครัว และวัฒนธรรมความเชื่อในอดีตหลายๆ อย่างกลับฟื้นคืนมาอย่างน่าประหลาด ทางรัฐบาลทุ่มงบประมาณที่นอกจากการรักษาพยาบาลแล้ว ยังให้เงินช่วยเหลือค่าครองชีพเพื่อประทังความอดอยาก คนในสังคมที่พอมีพอกินก็ออกมาแบ่งปันข้าวของและอาหาร จนเกิดนวัตกรรมใหม่ขึ้นมา เช่น ตู้ปันสุข คนรวยแจกเงินแจกข้าวของ รวมทั้งบรรดาร้านค้า ร้านอาหาร แต่ที่สำคัญก็คือวัดกลับมาทำหน้าที่ในการแจกอาหารให้กับคนในชุมชน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากเมตตาธรรมในพระศาสนาที่เคยมีการอบรมปลูกฝังกันมาในอดีต แต่ครั้งบ้านเมืองยังอยู่ในระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตย ซึ่งนอกจากวัดจะเป็นสถาบันทางศาสนาแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ยังทำหน้าที่ในการบริจาคสิ่งของจำเป็นแก่ชีวิต เช่น เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ อาหาร ให้แก่ประชาชนในยามวิกฤติ เป็นสิ่งที่สืบทอดอย่างไม่ขาดระยะมาแต่สมัยรัชกาลที่ 9 ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศยุคไวรัสโคโรนาระบาด ข้าพเจ้าจึงเห็นว่ามีทั้งการทำลายล้างและสร้างสรรค์ตามความเชื่อในพุทธศาสนา ที่คนทำบาปต้องชดใช้กรรมล้มตายไป ส่วนคนที่ทำบุญและมีเมตตาธรรมก็คือคนที่รอด

 

แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะคงอยู่รอดในหมู่ของคนที่ยังมีการมองโลกแบบตะวันออกซึ่งกำลังจะกลายเป็นคนรุ่นเก่าในช่วงเวลานี้เท่านั้น เพราะคนรุ่นใหม่ที่มองโลก มองสังคม และวัฒนธรรมแบบคนตะวันตกที่เป็นพวกวัตถุสังคม เชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และคลั่งไคล้เสรีภาพในการปกครองทุนนิยมประชาธิปไตยที่ลอกเลียนแบบมาจากอเมริกัน กำลังจะเติบโตเป็นคนส่วนใหญ่และรุ่นใหม่ของประเทศ กำลังเคลื่อนไหวและเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที ในช่วงเวลาที่การดำเนินงานของรัฐบาลในด้านสาธารณสุขซึ่งทำให้ได้รับชัยชนะเหนือความตายของไวรัสโคโรนานั้น ก็เพราะนายกรัฐมนตรีมีความกล้าหาญทางจริยธรรม ประกาศใช้ยุทธศาสตร์ในเรื่องสุขภาพเหนือเสรีภาพนั่นเอง ถ้าหากนำมาเป็นอุดมการณ์สำคัญในระบอบการปกครองต่อไปว่าประเทศไทยเป็นสังคมประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อมีชีวิตที่ดี มีสุขภาพกายและใจที่ดี โดยไม่จำเป็นจะต้องมีเสรีภาพอยู่เหนืออื่นใดแล้ว ก็น่าจะนำมากล่าวได้เต็มปากว่านี่แหละคือประชาธิปไตยแบบไทยๆ

 

เมื่อมาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าอดนึกไม่ได้ว่าที่จริงในยุคสงครามเย็นนั้น ประเทศทั้งสองขั้วอำนาจในโลกต่างก็อ้างตนว่าเป็นประชาธิปไตย คือเสรีทุนนิยมประชาธิปไตยกับสังคมนิยมประชาธิปไตยที่คนไทยเรียกว่าเป็นระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ เมื่อโควิด-19 อุบัติขึ้นในประเทศจีนที่เป็นประเทศผู้นำในระบบสังคมนิยมประชาธิปไตยลุกลามใหญ่โต คนจีนติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุด แต่จีนกลับแก้ไขโดยทุ่มการดำเนินการทุกอย่างในด้านสาธารณสุข ทั้งการสร้างโรงพยาบาล การเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ แล้วใช้ระบบเผด็จการบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ไม่มีการโต้เถียง โรคภัยก็สงบลงในเวลารวดเร็ว และสามารถเปิดประเทศได้ตามปกติ

 

สิ่งสำคัญที่ข้าพเจ้าประทับใจในตัวประธานาธิบดีของจีนก็คือ การประกาศว่ารัฐบาลจีนจะไม่ยอมให้คนจีนต้องตายด้วยโรคร้ายนี้แม้แต่คนเดียว เป็นการให้ความสำคัญกับชีวิตและสุขภาพของประชาชนเหนืออื่นใดในระบอบการปกครอง ข้าพเจ้าเลยนึกปลงสังเวชว่าเป็นเวรกรรมอันใดที่ทำให้ต้องมาเลือกการปกครองแบบทุนนิยมเสรี ที่เน้นเสรีภาพของปัจเจกชนซึ่งมีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยดังที่แลเห็นอยู่ในทุกวันนี้  อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หดหู่ใจในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ก็คือ ความไร้เดียงสาและไร้จิตสำนึกของบรรดานักการเมืองรุ่นใหม่ที่ปลุกระดมให้คนเป็นปรปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการนำเอาประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ที่มีการทำลายเพื่อล้มล้างกษัตริย์ โดยใช้การทำลายคุกบาสตีย์ (Bastille Prison) เป็นสัญลักษณ์ เพราะประชาชนถูกกดขี่จากทางรัฐ ทำให้เกิดความยากจนและอดอยาก จึงต้องตะโกนออกมาว่า “แปงๆ” คือเรียกหาขนมปัง นั่นคือฝรั่งเศส แต่เมืองไทยภายใต้การปกครองแบบราชาธิปไตยที่มีมานับพันปี ไม่เคยปรากฏความทุกข์ยากอดอยากของประชาชน จนต้องมีการปฏิวัติโดยประชาชนจากเบื้องล่าง การปฏิวัติรัฐประหารเป็นสิ่งที่จำกัดอยู่กับการแย่งชิงอำนาจกันเองในหมู่ชนชั้นปกครองเท่านั้น แม้แต่การปฏิวัติเมื่อ พ.ศ. 2475 ก็หาใช่ประชาชนจากเบื้องล่างไม่ ด้วยเหตุนี้จึงต้องประนีประนอมกันด้วยระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

สถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย

จากประสบการณ์ทางวิชาการของข้าพเจ้า ความคิดที่จะทำลายสถาบันกษัตริย์นั้นมาจากสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ ที่อบรมสั่งสอนบรรดานักศึกษาไทยที่ไปเล่าเรียนว่า สถาบันกษัตริย์นั้นเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย นับเป็นการใช้แนวคิด วิวัฒนาการทางสังคม (Evolutionism) อย่างโดดๆ โดยไม่คำนึงว่ายังมีแนวคิดอื่น เช่น ทฤษฎีเรื่องโครงสร้างและหน้าที่ (Structural functionalism) ที่อธิบายถึงการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ก็เพราะยังมีหน้าที่และความหมายต่อคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย ซึ่งแลเห็นได้จากพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงพัฒนาประเทศในลักษณะคู่ขนานกับรัฐบาลด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้คนไทยได้ฟื้นฟูชุมชนและท้องถิ่นของตนให้มีความมั่นคงในเรื่องอาหารและชีวิตวัฒนธรรมอย่างที่เคยมีมาในอดีต และหลุดจากการเป็นทาสปัญญาของอเมริกันและคนตะวันตกอย่างแลเห็นได้ชัดเจนในระยะเวลาที่โควิด-19 ระบาด โดยเฉพาะเรื่องสำนึกชุมชนและรักแผ่นดินเกิด คนที่อยู่ต่างประเทศต่างทยอยกันกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตน และคนในชุมชนทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าเกิดความรัก  ความเมตตา ที่จะช่วยเหลือผู้ยากไร้และมีทุกข์ด้วยการแบ่งปัน ทั้งเรื่องอาหารการกินและข้าวของจำเป็นในชีวิต ทำให้เกิดความคิดว่าคนไทยคงไม่มีวันอดอยากแบบในฝรั่งเศสที่ต้องทำลายคุกบาสตีย์และล้มล้างกษัตริย์อย่างที่นักวิชาการและนักการเมืองรุ่นใหม่ไร้เดียงสาปลุกระดมกันอยู่ขณะนี้

 

ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติการณ์โควิด-19 ข้าพเจ้าเคยมีความคิดแบบสิ้นหวังกับสังคมไทยที่พัฒนาสังคมและเศรษฐกิจให้กลายเป็นสังคมทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย จนเกิดภาวะล่มสลายทั้งทางด้านศีลธรรม และความเป็นมนุษย์ ดังเห็นได้จากคนทั้งรุ่นใหม่และเก่าเป็นทาสของอบายมุข การทุจริตคอร์รัปชั่นในแทบทุกวงการ การเป็นทาสยาเสพติดที่ส่งผลให้เกิดอาชญากรรมแทบทุกเมื่อเชื่อวัน การฆ่ากัน และการผิดประเวณีระหว่างพ่อแม่ลูกและญาติพี่น้อง ศาสนาเสื่อมลง เกิดอลัชชีที่กลายเป็นอาชญากร รวมทั้งการทำลายธรรมชาติและสภาพแวดล้อม เนื่องจากการขยายตัวทางอุตสาหกรรมและการสร้างบ้านเมืองแบบใหม่ที่ทำให้เกิดความแออัด เกิดมลภาวะทั้งในน้ำ ดิน และอากาศ โดยเฉพาะการทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่มีผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อนและภัยพิบัติต่างๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุหมุน และคลื่นยักษ์ จนคนรุ่นเก่ามักกล่าวว่าเป็นเพราะธรรมชาติเอาคืน บาปกรรมของมนุษย์ต้องถูกอำนาจเหนือธรรมชาติลงโทษด้วยการทำลายล้าง และเปิดโอกาสให้คนที่มีศีลธรรม มีมนุษยธรรมได้สร้างชีวิตใหม่ขึ้น

 

โควิด-19 คือไวรัสตัวเล็กที่สุดในจักรวาล ที่มนุษย์คิดว่าควบคุมได้ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะทำลายล้างเมื่อไหร่ก็ได้ ความโอหังบังอาจนี้ทำให้เกิดอาการ “การ์ดตก” จึงเกิดการตายเกือบทั้งโลก แต่ข้าพเจ้าเป็นคนตะวันออกรุ่นเก่าที่มองว่า โลกและจักรวาลหาได้มีความสัมพันธ์เฉพาะมนุษย์และสิ่งมีชีวิตกับธรรมชาติแต่อย่างเดียวไม่ หากยังมีสิ่งเหนือธรรมชาติอันเป็นมิติทางจิตวิญญาณ ข้าพเจ้าไม่มองโควิด-19 เป็นแค่ไวรัสตัวเล็กๆ แต่เป็นความตายที่เป็นการกระทำของอำนาจเหนือธรรมชาติ ในกระบวนการลงโทษทัณฑ์กับคนบาปที่ไม่ใช่เพียงเหยื่อของโควิด-19 ในครั้งนี้เท่านั้น หากยังมีอีกหลายระลอกที่คาดไม่ได้ว่าจะเป็นอะไรในภายหน้า แต่ครั้งนี้อยากจะเขียนรำพันพิลาปให้แก่บรรดาผู้ที่เป็นนักประชาธิปไตยเสรีทุนนิยมแบบอเมริกันว่า

 

“ประชาธิปไตยขามขู่                   ถูกตู่ถูกปด

ยอมทู้บูชา                                 ได้แล้วทรยศ

ลงท้ายตายหมด                         โควิดเจ้าเอย”